เป็นการพัฒนาศักยภาพของผู้บริหารรายบุคคล ในรูปแบบการสนทนาแบบตัวต่อตัว (1-on-1 Coaching) โดยใช้หลักการโค้ชตามมาตรฐานสากลของสหพันธ์การโค้ชนานาชาติ (International Coaching Federation – ICF) โดยเป้าหมายการโค้ชนั้น จะเป็นวัตถุประสงค์ที่มาจากทั้งโจทย์/เป้าหมายองค์กร และเป้าหมายการโค้ชส่วนบุคคลของผู้บริหารท่านนั้นๆ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการทำงานในองค์กร เช่น การวางแผนกลยุทธ์หรือแผนงานที่สำคัญๆ ขององค์กร (Strategic Planning) การพัฒนาภาวะผู้นำ (Leadership Development) การเตรียมตัวสืบทอดตำแหน่งที่สูงขึ้น (Succession Planning) การบริหารอารมณ์ (Emotion Management) ความสามารถในการตัดสินใจ (Decision Making) เป็นต้น โดยทั่วไป โปรแกรมการโค้ชตัวต่อตัวจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-8 เดือน มีการใช้เครื่องมือและรูปแบบการวัดผลกันตามที่กำหนดร่วมกันระหว่างโค้ช ผู้บริหารผู้รับการโค้ช และผู้เกี่ยวข้องในองค์กร เช่น ผู้บริหารระดับสูง และ HR
ผลลัพธ์ที่ได้ตลอดกระบวนการโค้ช คือการดึงศักยภาพของผู้บริหารแต่ละท่านออกมาใช้ ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด โดยคำนึงถึงทั้งด้านผลงาน และสุขภาวะทางกายและจิตใจของแต่ละท่าน นอกจากนี้ ยังได้เรียนรู้กระบวนการโค้ช เพื่อนำไปปรับใช้กับทีมงานได้อีกด้วย ที่สุดแล้ว ผลที่จะได้รับคือความสุขในการทำงาน และความสำเร็จร่วมกันระหว่างตัวผู้บริหารเอง ทีมงาน และองค์กร
Testimonials
“Step out to view problems in a bigger picture, try to understand the root cause of the problems, and explore alternative ways for next steps. Self-reflection is the key to jump across obstacles, roadblocks, and frustrations. It helps a person to react with consciousness and maturity, not emotion”
Khun Hatainan Kiatfuengfoo
Deputy Chief Agency Officer
AXA Insurance Public Company Limited
Testimonials
“ประโยชน์ที่ได้จากการโค้ช:
1) สามารถพัฒนาตนเองในการเป็นผู้นำได้มากขึ้น
2) สามารถพัฒนา และ ดึงศักยภาพของทีม มาใช้ได้เป็นอย่างดี
ทำให้สามารถคาดหวังผลงานได้สูงขึ้นกว่าเดิม
3) เพิ่มมุมมอง ช่องทางในการทำงานหรือการแก้ไขปัญหาต่างๆได้มากขึ้น
4) สามารถเพิ่มบรรยากาศที่ดีในการทำงานร่วมกันได้มากขึ้น
สี่ข้อนี้ได้ผลดีหลังจากที่ได้รับการโค้ชจากอาจารย์นะครับ”
– คุณประเสริฐ ปลื้มปัญญา SVP – Senior Project Management Specialist, DTGO Group
1. โค้ชมีความรู้ทุกเรื่องที่จะโค้ชหรือ?
โค้ช ICF จะใช้กระบวนการโค้ชนำบริบท/เนื้อหา โดยจะมุ่งเน้นไปที่วิสัยทัศน์ เป้าหมาย และทางออก ไม่เจาะลึกลงไปในรายละเอียดหรือปัญหา ดังนั้น การโค้ชแบบนี้จะสามารถใช้ได้กับการโค้ชทุกเรื่อง เช่น โค้ชผู้บริหาร โค้ชผลการปฏิบัติงาน และโค้ชชีวิต
2. ไม่ได้มีปัญหาอะไร จะโค้ชได้หรือเปล่า?
ผู้รับการโค้ชไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีปัญหา อาจเป็นผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะผู้นำให้ดียิ่งขึ้น หรือกระทำการในเรื่องต่างๆ ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้น หลายองค์กรจ้างโค้ช ICF เพื่อโค้ชให้ผู้บริหารที่มีศักยภาพสูง หรือบุคลากรที่เป็น Talent ให้พัฒนาศักยภาพได้รวดเร็วขึ้นไปอีก
3. หากเรามั่นใจว่าเราคิดวิเคราะห์ทุกอย่างรอบด้านแล้ว ทำไมเราต้องรับการโค้ชอีก?
โค้ชช่วยให้การคิดวิเคราะห์ของผู้รับการโค้ชกระจ่างชัดขึ้น มีมุมมองที่หลากหลายขึ้น และอาจค้นพบทางเลือกใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ได้เพิ่มขึ้นในระหว่างการโค้ชที่เราเรียกว่า AHA Moment แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้รับการโค้ช หากไม่เชื่อมั่นในกระบวนการแล้ว ก็อาจไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดีได้
4. โค้ชแล้วอะไรๆ จะเปลี่ยนแปลงดีขึ้นจริงหรือ?
การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ หากผู้รับการโค้ชเชื่อมั่นในกระบวนการโค้ช ให้คำมั่นสัญญากับตนเอง และลงมือทำตามแผนงานที่วางไว้อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย
จากประสบการณ์ส่วนตัวของบีในการทำงานโค้ชมากว่า 10 ปี ได้พูดคุยกับผู้บริหารระดับสูง และผู้บริหารและบุคลากรฝ่ายทรัพยากรบุคคลขององค์กรชั้นนำหลายแห่ง ต่างก็รู้จัก และให้ความเชื่อมั่นในการว่าจ้างโค้ช ICF เป็นโค้ชให้แก่ผู้นำ ผู้บริหาร หรือบุคลากรสำคัญๆ ในองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โค้ชที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์การโค้ชนานาชาติ (ICF) ทั้งในระดับ Associate Certified Coach (ACC) คือมีประสบการณ์การโค้ชมากกว่า 100 ชั่วโมง โค้ชระดับ Professional Certified Coach (PCC) คือมีประสบการณ์การโค้ชมากกว่า 500 ชั่วโมง และโค้ชระดับ Master Certified Coach (MCC) คือมีประสบการณ์การโค้ชมากกว่า 2,500 ชั่วโมง ซึ่งทีมโค้ชผู้บริหารของสถาบัน BE Management Coach ล้วนได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากลนี้
1193793